ประวัติและต้นกำเนิดของ B-boy
(Breakdance,Breaking)
การเต้นชนิดหนึ่งที่เป็น element หนึ่งใน 4
ของ Hip-Hop ซึ่งได้แก่ MC , DJ ,
Graffiti และ B-boy กำเนิดจากชนท้องถิ่น American
African และ Puerto Rican ใน South
Bronx ของ New York city ประเทศสหรัฐอเมริกาในช่วงต้นปี
1970 ด้วยอิทธิพลของเพลง Funk และเพลง Soul
DJ Kool Herc เป็น DJ คนแรกที่เริ่มจัด
Block party เป็นครั้ง เพื่อให้วัยรุ่นในสมัยนั้น
เข้ามาร่วมเต้นรำกันใน party ของเขาและเขาเป็นคนแรกที่ริเริ่มการ
mix และเล่นเพลงตัดต่อแบบสดๆอย่างต่อเนื่องจนเรียกกันว่าเป็นจังหวะ
“Breakbeat" ซึ่งสามารถทำให้
ผู้เต้นสามารถโชว์ทักษะที่มีต่อเพลง ออกมาจากท่าเต้นได้ด้วยการเต้นได้กลายเป็นที่แพร่หลายในเวลาต่อมา
B-boy ในยุคแรกเริ่มการเต้น
B-boy Art Form
ในปี 1969 James Brown เป็นเจ้าพ่อเพลงแนว
Funk เพลง Soul ได้จุดประกายให้วัยรุ่นในยุคนั้นเริ่มรู้จักการเต้นด้วยเพลง
“ Get on the good foot " เป็นเพลงแรกที่วัยรุ่นในยุคนั้นรู้จักและเริ่มลอกเลียนแบบท่าเต้นจาก
James Brown ที่เรียกกันว่า Good foot (พื้นฐานการเต้นในยุคนั้นมาจากการเต้น Hustle) จนต่อมามีคนนำการเต้นชนิดนี้มาเต้นกับเพลง
Breakbeat จึงได้ตั้งชื่อมันว่า B-boy
ชื่อนี้มีหลายความหมาย
คือ Break boy ,Bronx boy, Boogie boy เป็นต้น ในเวลาต่อมาก็เริ่มมีท่าที่ยึดถือว่าเป็น Original Toprock form เป็นท่าแรกของ B-boying เลยคือท่า "Indian
step" ว่ากันว่านำมาจากการเต้นแบบ folk ของ
India ซึ่งวัยรุ่นสมัยนั้นลอกเลียนแบบมาจากภาพยนตร์ของอินเดีย
ตั้งแต่ยุคแรกเริ่มยังไม่มีการลง Footwork แต่อย่างใด
ครั้งแรกที่มีการลงสู่พื้นเป็นพื้นฐานของมีแรบงบรรดาลใจมาจากการเต้นของนักเต้น Tap
3 คน ที่ชื่อ " Will Maston Trio หรือAKA.Piggy
Wiggly Boogie" บางคนได้แรงบันดาลใจมาจากการเต้น Folk ของ Russia ต่อมาคือท่า Freezes ซึ่งท่านี้เป็นองค์ประกอบสุดท้ายของการเต้น B-boy เพราะหลังจากการเต้น
ทุกคนต้องการท่าจบแต่ในสมัยนั้นยังไม่มีการลงไป Freezes แบบที่เห็นในปัจจุบัน
เป็นเพียงท่าจบที่เท่ห์และให้
ทุกคนในบริเวณนั้นจำเราได้ว่าเราเป็นใคร
อย่างที่ "Nigger
Twin" ได้กล่าวไว้ว่า "ในสมัยนั้นเราเต้น เราสนุกสนาน
เราเท่ห์ เราลงไปบนฟลอร์
อย่างมีชั้นเชิงและไม่เคยลุกขึ้นมาแล้วเนื้อตัวสกปรกเลย"
ต่างกับสมัยนี้อย่างสิ้นเชิง ต่อมาได้มีการพัฒนาท่าที่เรียกว่า “
Powermoves ” เป็นท่าที่ ต้องใช้พลังในการขยับร่างกายสูงมาก
เพราะท่าเหล่านี้ได้แรงบันดาลใจมาจากท่ามากมากเช่น Kung-Fu , Capoeira
,Gymnastic และ กายกรรม เป็นต้น ท่า Powermoves เป็นเพียงแค่ส่วนประกอบหนึ่งที่ทำให้การเต้นนี้โดดเด่นเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตามมันไม่ใช่การเต้น
ในเวลาต่อมาได้มีการพัฒนาท่าต่างๆให้ดูคล่องแคล่วและน่าสนใจมากขึ้นเพราะ
B-boy คือความเป็นตัวของตัวเองซึ่ง B-boy ที่แท้จริงต้องการคือ Style ของตัวเอง (Original
style)มีท่าเป้นของตัวเองซึ่งถ้ามีใครที่นำ
ท่าที่บางคนคิดขึ้นแล้วนำไปลอกเลียนแบบ นั้นถือว่าเป็นการ copy หรือเรียกกันว่า “ Bite “ หัวใจของการเต้นชนิดนี้ไม่ใช่การ
การลอกเลียนแบบ แต่มันคือการ copy เพื่อที่จะมา
ดัดแปลงอย่างฉลาด เพื่อไม่ให้เหมือนใครและไม่ให้มีใครเหมือนตัวเอง
นั่นคือสิ่งที่ยากที่สุดในการเต้น B-boy เพราะทุกคนเต้นเหมือนกัน
แค่จะทำอย่างไรให้คนที่ดูคุณจำคุณได้ เท่านั้นเอง โดยผ่าน 4 องค์ประกอบของการเต้นนี้คือ
Toprock ,Footwork ( Floorwork , Downrock ),Freezes และ Powermoves
ต่อมาการเต้น B-boyเริ่มเป็นที่แพร่หลายมากขึ้นสู่กลุ่ม
gang วัยรุ่นต่าง วัฒนธรรมการbattle ได้ถือกำเนิดขึ้น
การ battle สามารถเกิดขึ้นได้หลายกรณี
เพื่อให้อีกกลุ่มหนึ่งที่เป็นฝ่ายตรงข้ามรู้ว่ากลุ่มของตนเองเจ๋งกว่า
อาจะเกิดขึ้นได้จากปัญหาเพียงแค่เหยียบเท้ากันก็ได้
คนแพ้ไม่สามารถที่จะมาเหยียบหรือเดินในถื่นของผู้ชนะได้เลย การเต้นชนิดนี้คือวิถีทางของการตัดสินปัญหาระหว่าง
gang ในยุคนั้น บางครั้ง battle กันเพื่อต้องการการ
Respect (ความเคารพ)
ของอีกฝ่ายคล้ายๆกับกันเช็ครุ่นอะไรแบบนั้น แต่การ battle ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะสามารถทำให้คนสามารถหยุดการทะเลาะวิวาทได้เพราะคนแพ้ย่อมไม่ชอบที่จะแพ้เช่นกัน
แต่อย่างไรก็ตาม B-boy ทำให้สังคมใน Bronx ,New
York city ลดปัญหาเรื่องการทะเลาะวิวาทได้มากทีเดียว
First B-Boy Crews
B-boy crew (ทีม B-boy)
ทีมแรกที่ที่เกิดขึ้น คือ "Zulu Kingz" ในปี 1969
Afrika Bambataa เจ้าพ่อแห่งวงการ
Hip-Hop ซื่งเป็น Legendary DJ ที่มีคุณประโยชน์ต่อการเติบโตของ
B-boy มาก โดย ออกเพลง "Looking for the perfect
beat" ใน album "Soul Sonic Force" และเป็นหัวหน้าของ กลุ่ม Zulu nation อีกด้วย
Zulu kingz ชนะการแข่ง ขันมากมายเพื่อกลุ่ม Zulu
nation Bambataa มองว่าการเต้น B-boy เป็นมากกว่าการเต้นเค้าเป็นความสำเร็จของมัน
เค้าเห็นความสามารถของ B-boy และอยากเป็นแรงสนับสนุน
เพื่อให้เหล่า B-boy คงอยู่รักษามันและ
มีความเชื่อที่จะรักษาการเต้นนี้ให้ดำรงอยู่ เชื่อที่จะติดอยู่กับมัน
เพราะสิ่งที่ดีมาจาก B-boy
Hip-Hop is Back
ในปี 1977 การกลับมาอีกครั้ง ของ
B-boy ได้เริ่มขึ้นกับ กลุ่มใหม่ B-boy กลุ่มใหม่กำเนิดขึ้นคือ Rocksteady crew แม้ว่าคนในยุคนั้นจะมองว่าพวกเขาเป็นเพียงแฟชั่นเก่าก็ตาม
แต่ Afrika Bambataa ก็ได้ให้การสนับสนุนอีกครั้ง โดยให้
Rocksteady crew ได้ไปแสดง ใน
Mudd Club, the Ritz และผับอื่นๆแม้แต่ Punk rock
clubs รอบๆใน New York เมื่อครั้งที่ Rocksteady
crew แสดงให้กับ Malcom McLaren and Bow Wow Wow ที่ The Ritz ผู้คนเริ่มสนใจ B-boy อย่างจริงจังและคิดว่า trend B-boy กลับมาแล้วปี 1981
มีภาพยนตร์ที่ชื่อว่า Wild style โดย Charles
Ahearn โดยเนื้อหาจะเกี่ยวกับ วัฒนธรรม Hip-hop โดยโชว์ Rapping, Graffiti, scratching (DJing) และ B-boying
โดยทุกอย่างจะคงความดิบและสดในย่าน Bronx และ Charles
Ahearn ได้จ้าง Rocksteady crew มาเล่นในภาพยนตร์ของเขา
ต่อมา Rocksteady crew ก็กลายเป็นที่รู้จักโด่งดังไปพร้อมกับ
B-boy new style ก็เป็นที่โด่งดังในเวลาต่อมา B-boy
new style ไม่เพียงแค่ Toprock ,Footwork และ Freezes ยังสามารถทำ Powermoves ได้อีกด้วย เช่น Headspin ,Handglide ,Backspin ,Windmill เป็นต้น ฤดูใบไม้ผลิในปี 1982
The Roxy ที่เล่น skateได้ถูกสร้างขึ้น
เป็นสถานที่เล่น skate ของนคร New york แต่ต่อมาความนิยมของการเล่น skate ได้ตกต่ำลงในเดือน
มิถุนายน ปี1982 ต่อมา Pat Fuji เปลี่ยน
the Roxy ให้กลายเป็น dance club ในทุกๆคืนวัน
พฤหัส ,ศุกร์ และ เสาร์ The Roxy กลายมาเป็นจุดศุนย์กลางของ Hip-Hop อย่างรวดเร็ว
ที่นี่เป็นสถานที่ๆ rappers, D.J.'s และ B-boys ชอบมาแสดงและผ่อนคลายกัน ถ้าคุณต้องการ B-boy B-girl สำหรับโชว์หรือวีดีโอของคุณคุณต้องมาหาที่ the Roxy หรือเพียงต้องการที่จะมาดูหรือเรียนรู้ท่าใหม่ๆก็ให้คุณมาที่
The Roxy นอกเหนือจากนั้น The Roxy ยังได้
sponsor งานแข่ง b-boy ต่างๆด้วยและช่วยให้ผู้ชนะได้เป็นที่รู้จักอีกด้วย
เดือนมิถุนายน 1983 Pat Fuji ได้จ้างนักเต้น Jazz มืออาชีพ ชื่อ Rosanne Hoare เพื่อบริหาร Hip-Hop
center แห่งนี้ซึ่งเป็นบ้านของ street culture คือ Breakdancing, rapping, DJing และ graffiti
art เธอได้สร้าง บ้านเพื่อ support วัฒนธรรม Hip-Hop
อย่างเป็นทางการ อย่างที่ศิลปะข้างถนนไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เธอยังสร้าง
Home for Breakdancersที่ๆเหมือนบ้านที่ฝึกซ้อมเพียงเท่านั้นแต่เธอยังจะจัดหางานโชว์
ต่างๆให้อีกด้วย
และสิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือเธอยังเป็นเพื่อนที่ดีกับทุกคนในบ้านแห่งนี้อีกด้วย
เธอช่วยเหลือ B-boy ให้ยังคงอยู่
ประวัติและต้นกำเนิดของ Hip-Hop
Old school hip hop
(1979-1985)
ก่อนที่เพลง Rap จะถือกำเนิดขึ้นดนตรี style
Hip Hop ในยุคแรกๆเกิดจากการ Mix เสียงกลองเพอร์คัสชั่น
เข้ากับเพลงที่โด่งดังในยุค 70 มากลายเป็นจังหวะที่ผสมผสานกันอย่างลงตัวโดยในยุคนั้น
DJ Kool Herc เป็นผู้ริเริ่มการ mix เพลงแบบนี้ขึ้นและให้ชื่อจังหวะเหล่านี้ว่า
“Break beat”
The Herculoids เป็นกลุ่ม Rapper
ในสมัยแรกๆซึ่งประกอบไปด้วย DJ Kool Herc ,Coke La Rock และ Clark
Kent ซึ่งเป็นกลุ่ม Rapper รุ่นบุกเบิกเลยก็ว่าได้
ในสมัยนั้นเรียก การ Rap ว่า“ Emceeing “ (MC) ต่อมา กลุ่ม The Herculoids ก็เริ่มแพร่ขยายการ Rap
จาก Party ที่ DJ Kool Herc จัดเป็น Party แบบ Block party ซึ่ง Rapper ในสมัยนั้นจะ Rap นั้นจะเป็นการเชีนร์อัพคนที่อยู่ใน
party เพื่อให้ทุกคนได้มีส่วนร่วมไปกับเพลงด้วย
ซึ่งจะเป็นการ rap แบบนับ 4 จังหวะง่ายๆและมักจะเป็นการคิดสดในทันที
ในสมัยนั้นการ rap จะใช้เวลาเป็นชั่วโมงๆ ในBlock
party เพื่อความสนุกสนาน รากฐานของการป่าวประกาศ
style ชาว Jamica ด้วย
Next Generations
(1986-1997)
ความนิยมที่เกิดขึ้น
Hip-Hop รุ่นใหม่เริ่มขึ้นด้วยความโด่งดังของ
Run DMC อัลบั้ม Raising Hell ในปี
1986 เป็นแนวของเมือง New york city ร้องร่วมด้วยกับ Rapper ชั้นนำ
ซึ่งมีการรวบรวมเทคนิคต่างๆ ทั้งการเล่นคำ การส่งคำ และ ประโยคต่างๆของรูปแบบการ Rap
ต่อมาค่ายเพลงอิสระที่เป็นที่รู้จักกันในนาม Def Jam
Recordings ซึ่งกลายมาเป็นสัญลักษณ์ของฝั่ง East coast
( ฝั่งอเมริกาตะวันออก ) ในปี1984 ยุคทองของ
Hip-Hop ยังมี Rapper ที่น่ายกย่องมากที่สุดคือ
Big Daddy Kane และ Kool G Rap ของ Cool Chillin’ Records และ Rakim ของคู่หูผู้มีอิทธิพลต่อวงการ Eric B & Rakim อัลบั้ม
Paid in Full ในปี 1987 เป็นอัลบัมอีกอัลบั้มหนึ่งของ
Hip-Hop ที่น่ารำลึกถึงในยุคนี้
Ice-T เป็น Rapper ที่ rap เกี่ยวกับการเมืองครั่งแรก ในปี 1984
กับ single ชื่อว่า “Killers” ในปี 1988 Public Enemy ออกอัลบั้ม “
It takes a Nation of Millions to hold Us Back “ ซึ่งเนื้อหาจะมุ่งประเด็นไปในเรื่องของการเมือง
ตั้งแต่ต้นจนจบ ในปีเดียวกัน Boogie Down Productions ก็ได้ออกอัลบั้ม
By All Means Necessary ซึ่งทำให้การ Rap ในเนื้อหาในแนวนี้แข็งแกร่งขึ้น ทั้งสองอัลบั้มเป็นผู้บุกเบิกให้กับ Rapper
ที่ Rap เกี่ยวกับการเมืองมากมาย
Rapper ที่เป็นผู้บุกเบิกเทคนิคใหม่ๆในการ Rap ด้วย และในปีเดียวกับ “ It takes a Nation of Millions to hold Us
Back “ ของ Public Enemy ออกมานั้น
เป็นปีที่อัลบั้มคู่ของ DJ Jazzy Jeff & The Fresh Prince (Will Smith)
ชนะรางวัล Rap Award รางวัลแรกของ Grammy
Award แต่รางวัลของทั้งสองก็ไม่ได้ถูกประกาศออกอย่างเป็นทางการทางทีวี
เนื่องด้วยปัญหาการคัดค้านในมุมกว้างของ ศิลปิน Rap ทั่วไป
Style ดนตรี
Hip-Hop ต่างๆ
ในปี 1988 และ 1989 ศิลปินจาก Native Tongues Posse ออกอัลบั้มแรกที่ชื่อว่า
Conscious Hip Hop ด้วยรูปแบบที่มี การนำดนตรี Jazz มาเป็นลองเป็นพื้นฐาน มีความหลากหลายมีทั้ง สำนวน
และเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการเมืองมากขึ้น ด้วยหลากหลายหัวข้อทางการเมือง (style
Jazz Rap) ซึ่งมีอิทธิพลมากมายมาจาก Afrocentric ซึ่งเป็นข้อความของ Bambaataa’s แห่ง Zulu
Nation อัลบั้มนี้กลายมาเป็นผู้เบิกทางให้กับ A Tribe
Called Quest อัลบั้ม The Low End Theory ที่ออกมาในปี 1991 และ อัลบั้มนี้ก็กลายเป็น
อัลบั้มที่นักวิจารณ์ และแฟนๆ พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเป็นอัลบั้ม Jazz Rap
ยอดเยี่ยมที่เคยมีมา John Bush แห่ง All
music (ฐานข้อมูลเพลงแหล่งใหญ่)
ได้ให้คำจำกัดความกับอัลบั้มนี้ไว้ว่า “เป็นอัลบั้มหนึ่งที่เป็นการผสมผสานระหว่าง
Jazz และ Hip-Hop โดยมีอารมณ์บรรยากาศของ
Jazz อยู่ในรูปแบบของ Hip-Hop ที่ลงตัว
”
นอกเหนือจากนี้ดนตรีแนวนี้ยังเป็นที่นิยมในช่วงต้นปี
1990s ต่อมา
Hip-Hop ได้แหวกกฏเกณฑ์ทางภาษา โดยเริ่มมีการ Rap ในภาษาสเปนเกิดขึ้นและ style ของดนตรีก็ได้นำการผสมผสานเอาเครื่องดนตรีและกลิ่นแบบสแปนิชเข้าไปด้วยเพลง
Rap ที่ทำให้เข้าใจยาก ศิลปินอย่างเช่น Kid Frost
,Mellow Man Ace ,Gerardo และ El General เป็นรู้จักกันมากขึ้นในต่างประเทศด้วย
ทำให้ชาว สเปนติดหูกับสิ่งที่พวกเขาสื่ออกมาจากวัฒนธรรม Hip-Hop ก่อนที่จะมีวง Rap เปอร์โตริกัน
แต่อย่างไรก็ตามวัยรุ่นชาวเปอร์โตริกัน ที่อาศัยอยู่ใน El Barrio และ South Bronx ได้เริ่มเข้ามาอยู่ในวัฒนธรรม Hip-Hop
มาตั้งแต่ปี 1970 แล้ว เพราะไม่ใช่แค่นักร้อง rap
super star จากปี 1990’s ที่ทำให้ชาวเปอร์โตริกัน
แม็กซิกัน เข้ามานิยมและสนใจวัฒนธรรม Hip-Hop เพียงเท่านั้น
Hip-Hop กลายมาเป็นวัฒนธรรมที่แบ่งช่องว่างให้กับการใช้ภาษาโดยที่จะเป็นทางเลือกและมุมมองใหม่และเปิดกว้างในการใช้ภาษาอื่น
ประกอบกับภาษาอังกฤษในเพลง rap ด้วย
กลายเป็นรูปแบบวัฒนธรรมร่วมของการแสดงออกด้วย
ความคิดเกี่ยวกับ
Gangster Rap
Ice T อัลบั้ม “6n’
Da Mornin” ในปี 1986 เป็นอัลบั้มแรกจากฝั่งตะวันตกของอเมริกา
(West Coast Hip-Hop) ที่ประสบความสำเร็จมากและกล่าวถึงเนื้อหาเกี่ยวกับ
Gangster และพูดได้ว่าเป็นยุคแรกเริ่มของ ความคิดเกี่ยวกับ Gangster
Rap ในปี 1988 กลุ่ม Rapper
ที่มีชื่อ ว่า N.W.A ได้ออกอัลบั้ม “Straight
Outta Compton” อัลบั้มนี้ทำให้เกิดความนิยมเพลงในแนว Gangster
Rap จนกลายเป็นที่นิยมมากตั้งแต่ปี 1990 เป็นต้นมา
ทำให้เกิด Rapper ใน style นี้มานับไม่ถ้วน
รวมไปถึง
The Notorious B.I.G. ,Puff Daddy ,Eazy E
,Dr. Dre ,Bone Thugs N Harmony ,Snoop Doggy และ Tupac
Shakur
Dr. Dre อัลบั้ม The
Chronic ในปี 1992 เป็นอลับั้มที่เป็นตัวผลักดันให้เห็น
style ของ Hip-Hop ตะวันตก (West
Coast Hip-Hop) อย่างแท้จริงในปี 1990 Gangster Rap กลายมาเป็นแรงผลักดันใหม่จากอัลบั้ม The Chronic ของ
Dr. Dre นั้นทำให้เกิด style เพลง Hip-Hop
แนวใหม่ขึ้นที่เรียกว่า G-funk โดย style
นี้จะใช้เพลง Funk จาก ยุค 70 มาทำใหม่ เพียงการนำเสียงดนตรีของเพลง Funk ในยุค 70
มาทำให้หนักหน่วงและลดจังหวะให้ช้าลง ตั้งแต่นั้นมา
style G-funk เริ่มเข้ามาครอบงำ แนวดนตรีของ Hip-Hop ในฝั่งตะวันตกของอเมริกา ( West Coast Hip-Hop ) G-funk กลายมาเป็นที่นิยมและมีความหลากหลายมากในช่วงต้นปี 1990 แต่อย่างไรก็ตาม Hip-Hop ในฝั่ง New York
City ก็ไม่ได้ศูนย์หายไป แต่ก็ยังคงอยู่อย่างสมบูรณ์
West Coast Hip-Hop ตั้งแต่ต้นยุค
90 มาจนถึงช่วงกลาง ยุค 90 ก็ได้ถือกำเนิด
Rapper ที่เป็นตำนานคือ Tupac Shakur ผู้ที่มีประวัติการติดคุกมากที่สุด
เค้ากลายมาเป็น idol ของฝั่งอเมริกาจะวันตกไปเลย จากอัลยั้ม Me
Against the World และเป็นแรงบันดาลใจที่ยอดเยี่ยมจากอัลบั้ม All
Eyez on Me เป็นที่เลื่องชื่อของ Hip-Hop ตั้งแต่ ปี 1990 เป็นต้นมา
การตายของเค้าที่เหมือนกับ Notorious B.I.G. ทำให้เพลง rap
ที่พวกเขามาทำลายตัวของเขาเองและจบชีวิดด้วยเนื้อของเขาเอง
ด้วยเนื้อหาที่เกี่ยวกับความรุนแรงและการต่อต้านอำนาจรัฐ และ ตำรวจ
การจบสิ้นของยุคสมัย
ในช่วงที่มีแต่การถกเถียงกันมากเกี่ยวกับ
Hip-Hop อย่างไรก็ตามมันก็ยังคงเป็นยุคทองของ
Hip-Hop อยู่ดี มีการถกเถียงกันมากมายว่าความนิยมของ เพลง Hip-Hop
กำลังเสื่อมลงตั้งแต่ปี 1990 เป็นต้นไป
มีหลายจุดที่ทำให้คนคิดว่า Hip-Hop กำลังเสื่อมความนิยมลงคือ
ตั้งแต่วันที่ Tupac Shakur เสียชีวิตในปี 1996 บางคนก็ว่าตั้งแต่วันที่ Notorious B.I.G. เสียชีวิตในปี
1997 แต่ก็มีเหตุผลอื่นที่พิสูจน์ว่า Hip-Hop กำลังเสื่อมความนิยมลงคือ พฤติกรรมของ Rapper เช่น The
Notorious B.I.G. และ Puff Daddy ที่มีเรื่องมีราวบ่อย
และ ยังมีเรื่องที่ วง Public Enemy พิสูจน์ว่า Hip-Hop
ได้เสื่อมความนิยมลงอย่างเห็นได้ชัด
บางคนก็บอกว่าเป็นความไม่ยุติธรรมที่ค่ายเพลงที่อัดเสียง ดูแลศิลปินไม่ดีซึ่ง
บ่งบอกว่าเพลง Hip-Hop ไม่มีการพัฒนาไปอีกแล้ว นอกเหนือจากนั้น
วง A Tribe Called Quest อัลบั้มล่าสุดของพวกเค้าในปี 1998
ได้ตั้งชื่ออีกว่า “Hip-Hop is Dead” และได้มีศิลปินอีกหลายคนร้องมันออกมาก่อนที่จะมีอัลบั้มของ
NAS ที่ ชื่อว่า “Hip-Hop is Dead”
NEW ERA of Hip-Hop (ปี 1998 มาจนถึงปัจจุบัน)
ความนิยมในต่างประเทศ
(นอกอเมริกา)
ตั้งแต่กลางปีมาจนถึงปลายปี 1990 เป็นต้นมา ดนตรี Hip-Hop
กลายมาเป็นแนวดนตรีที่มีความนิยมมากไม่ใช่แค่ในสหรัฐอเมริกาเพียงเท่านั้นแต่มันขยายวงกว้างไปทั่วโลก
ความนิยมอันแข็งแกร่งนี้ทำให้ Hip-Hop มีการพัฒนาไปข้างหน้า
ระหว่างที่คนอื่นกำลังมองว่า Hip-Hop ในอเมริกากำลังหมดความนิยมไป
ความนิยมนี้ทำให้เกิดภาพลักษณ์ของ Rapper ขึ้นในช่วงนี้ซึ่งเรียกกันว่า
“Jiggy/bling” เพลง Rap บางครั้งก็เป็น
Pop Rap ซึ่งถูกเรียกว่า Jiggy ( ‘Jiggy’ มาจากเพลงของ Will Smith มาจากเพลง “Getting’
Jiggy With It” ของเค้านั้นเอง ) ส่วนคำว่า bling นั่นหมายถึงเครื่องประดับที่ประดับไปด้วยเพชรแวววาวนั่นเอง
ความสำเร็จและการปรับเข้ากับสังคม
ครึ่งปีหลังจากปี 1990 ตอนใต้ของอเมริกาก็ได้มีความนิยมที่เติบโตขึ้นเป็นวงกว้างของเหล่าแฟนๆของ
OutKast ,No Limit และ Cash Money Records ในอีก 10 ปี ให้หลังจากปี 1990 การเจริญเติบโตของ Hip-Hop ที่เริ่มจะดูดซึมในรูปแบบดนตรีแนวใหม่ที่เรียกกันว่า
” Neo Soul “ เป็นการผสมผสานระหว่างดนตรี Hip-Hop และดนตรี Soul ซึ่งมีการผลิตนักร้องของแนวดนตรีนี้ให้เกิดขึ้นในช่วงกลางๆของ
10 ปีที่ผ่านมาจากปี 1990
อ่างอิงมาจาก
http://backtobionic.com/?s=hip+hop
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น