วันพุธที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

วิวัฒนาการของ Microsoft Windows รุ่นต่างๆ
Windows เป็นระบบปฏิบัติการแบบ GUI ของ Microsoft ซึ่งแต่ก่อนนี้มี MS-DOS เป็นแบบ Command Line ซึ่ง Windows ก็ได้พัฒนามาเรื่อยๆ โดยเริ่มจาก Windows 1.0 ที่ยังเป็นแบบ 16-bit ทำงานบน DOS อยู่ จนทุกวันนี้ก็ได้ออก Windows 7 ซึ่งเป็นเวอร์ชันล่าสุดออกมา มาดูกันว่า Windows แต่ละรุ่นของ Microsoft นั้น มีพัฒนาการความเป็นมายังไงบ้าง

Windows 1.0

Windows 1.0 เป็น OS แบบ 16 bit ที่มี GUI ตัวแรกของ Microsoft โดยออกวางขายในวันที่ 20 พฤศจิกายน 1985 วางขายในรูปแบบของ Floppy Disk โดยผู้ใช้ต้องลง DOS ก่อน แล้วถึงลง Windows 1.0 ตามอีกที สามารถรันโปรแกรมของ DOS แบบ Multitasking ได้โดยมีข้อจำกัดบางอย่าง ต้องการ Ram ขั้นต่ำ 384 KB (แนะนำ 512 KB) Windows 1.0 มี Shell ชื่อ MS-DOS Executive โปรแกรมที่มาพร้อมกับ OS ก็มีพวก Calculator, Calendar, Cardfile, Clipboard viewer, Clock, Control Panel, Notepad, Paint,Reversi, Terminal, และ Write
Windows-1


Windows 2.0
Windows 2.0 ก็ยังเป็น 16 bit อยู่ ออกมาในปี 1988 แถมมากับคอมพิวเตอร์ของ AT&T ในฐานะของโปรแกรมทดสอบสำหรับสถานศึกษา Windows 2.0 เริ่มมีระบบ Plug&Play แล้ว สิ่งที่พัฒนาจาก Windows 1.0 คือสามารถลาก Application ที่รันอยู่ไปวางซ้อนกันได้ มี Keyboard Shortcut และมีปุ่ม Minimize/Maximize หน้าต่าง
Windows-2


Windows 3.0
Windows 3.0 ออกมาในวันที่ 22 พฤษภาคม 1990 เป็น Windows รุ่นแรกที่ประสบความสำเร็จอย่างกว้างขวาง และสามารถฟาดฟันกับ OS เจ้าถิ่นในสมัยนั้นอย่าง Apple Macintosh ได้ Windows 3.0 มี Protected/Enhanced mode เพื่อให้ Applicaton ของ Windows สามารถใช้ Memory เยอะได้ได้มากกว่าที่ DOS จัดมาให้ (ยังรันบน DOS อยู่)
Windows-3

Windows 3.1X
เชื่อว่าหลายคนคงเคยใช้ กัน (ผมก็เคยใช้นะตัวนี้) Windows 3.1X ออกมาสานต่อความสำเร็จของ Windows 3.0 โดยออกมาในเดือนมีนาคม 1992 Windows 3.1X ออกแบบมาโดยใช้โทนสีชื่อ Hotdog Sand ซึ่งประกอบด้วยสีหลักๆ คือ แดง เหลือง ดำ เพื่อช่วยให้คนที่ตาบอดสีในระดับหนึ่งสามารถมองตัวอักษร,ภาพ ได้สะดวกขึ้น Windows for Workgroups 3.1 ออกมาในเดือนตุลาคม 1992 โดยเพิ่มเติมในส่วนของการสนับสนุนระบบเครือข่าย
Windows-3-1x

Windows 3.11 NT
Windows 3.11 NT เป็น Windows ตัวแรกของสาย NT โดยเน้นในทาง Server กับทางธุรกิจ ออกมาในวันที่ 27 กรกฎาคม 1993 โดยมีออกมาด้วยกัน 2 รุ่นคือ Windows NT 3.1 กับ Windows NT Advanced Server ซึ่ง Windows 3.11 NT นี้มีระบบความปลอดภัยในการรัน Application ที่เข้มงวดขึ้น โปรแกรมไหนที่ติดต่อกับ Hardware โดยตรง หรือยังใช้ Driver ของระดับ DOS อยู่ จะไม่อนุญาตให้รัน ทำให้ระบบมีความเสถียรขึ้นกว่าเดิมมาก นอกจากนี้ยังมีการเพิ่ม Win32 ซึ่งเป็น API แบบ 32 bit
Windows-3-11nt

Windows 95
เป็น OS ที่ประสบความสำเร็จสูงสุดของ Microsoft ออกมาในวันที่ 24 สิงหาคม 1995 เริ่มแยกตัวออกจาก DOS แล้ว (ยังมีหลงเหลือการใช้งาน Code บางส่วนจาก DOS อยู่) โดย Microsoft ได้ออก MS-DOS 7.0 ซึ่งเป็น DOS รุ่นปรับปรุงความสามารถเพื่อให้รองรับ Windows ใน Windows 95 นี้มีการปรับปรุง User Interface เป็นแบบใหม่ โดยแทบจะไม่เหลือสิ่งเดิมๆ ที่เคยมาจาก Windows รุ่นก่อนๆ ซึ่งสิ่งใหม่ๆ ที่เพิ่มเข้ามาก็ได้แก่ Taskbar, Start button ,Start menu, และมี Windows Explorer เอาไว้จัดการไฟล์ Windows 95 รองรับการตั้งชื่อไฟล์ได้สูงสุด 255 ตัวอักษร รวมนามสกุล (ใน Windows รุ่นก่อนๆ ตั้งชื่อไฟล์ในระบบ 8.3 คือชื่อไฟล์ 8 ตัว นามสกุลอีก 3 ตัว ซึ่งเป็นข้อจำกัดมาจาก DOS) มีการทำงานแบบ 32 bit Multitasking
Windows-95

Windows 98
ออกมาในวันที่ 24 มิถุนายน 1998 เอา Interface แบบ Web มายัดใส่ใน Windows และยัดเยียด Internet Explorer 4 มาให้พร้อม โดยตอนแรกกะจะให้มาแทน Windows 95 แต่ไปๆ มาๆ Windows 98 รุ่นแรกกลับมีปัญหามาก การใช้งานก็ไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่ แถมตอนงานเปิดตัวก็ดันไปขึ้นจอฟ้าโชว์สาธาณชนอีกต่างหาก งานนี้เลยต้องออก Windows 98 SE (Second Edition) ออกมาแก้ตัวในวันที่ 5 พฤษภาคม 1999 โดยแก้บั๊ก และปรับปรุงประสิทธิภาพ เพิ่มเติมการรองรับ USB และอัพเกรด IE เป็นรุ่น 5.0

Windows-98

Windows 2000
Windows 2000 พัฒนาจาก Windows NT 4 ตอนแรกใช้ชื่อ Windows NT 5 แต่ด้วยกระแสปี 2000 ก็เลยเปลี่ยนชื่อเป็น Windows 2000 โดยวางเป้าหมายไว้ที่กลุ่มผู้ใช้ด้วนธุรกิจ,Notebook,และ Server โดยออกวางขายในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2000 มีออกมาทั้งหมด 4 รุ่น คือ Professional, Server, Advanced Server, และ Datacenter Server และในปี 2001 ก็ออก Windows 2000 Advanced Server Limited Edition และ Windows 2000 Datacenter Server Limited Edition เพื่อมารันบน CPU Intel Itanium ซึ่งเป็น CPU 64-bit โดย Microsoft ตั้งความหวังให้ Windows 2000 เป็น Windows ที่มีความปลอดภัยและมีเสถียรภาพมากที่สุด แต่มันกลับตกเป็นเป้าหมายของไวรัสตัวแรงๆ โดยเฉพาะ Nimda กับ Code Red
Windows-2000


Windows Millennium Edition (ME)
Windows Millennium Edition พัฒนามาจากสาย Windows 9x โดยตั้งชื่อเกาะกระแสปี 2000 อีกตามเคย เป็น OS ลูกผสม 16-bit/32-bit ออกวางขาย 14 กันยายน 2000 โดยมาพร้อมกับ Internet Explorer 5.5, Windows Media Player 7, และ Windows Movie Maker (มี System Restore ด้วย) โดยปรับปรุง User Interface ให้ดูคล้ายๆ Windows 2000 ซึ่งผลตอบรับของ Windows ME คือถูกด่าแหลกราญ ทั้งเรื่องบั๊กมากมายมหาศาล และการที่มันแทบจะไม่มีอะไรเพิ่มเติมจาก Windows 98 SE เลย นอกจาก Interface กับโปรแกรมใหม่ๆ (ซึ่งตอนนั้น IE 5.5 กับ WMP7 ก็ดาวน์โหลดได้ฟรีๆ จากเว็บ Microsoft) แถมกระแส Millenium ก็ใกล้จะหายแล้ว (มันออกมาขายช่วงท้ายปี) คนก็เลยไม่รู้ว่ามันจะออกมาทำเพื่ออะไร
Windows-me


Windows XP
เป็นการรวมสายการพัฒนาของ Windows 9x กับ NT เข้าด้วยกัน ออกวางขายวันที่ 25 ตุลาคม 2001 ถ้านับตั้งแต่วันที่วางขายถึงตอนเดือนมกราคมปี 2006 ก็ขายได้มากกว่า 400 ล้านชุดแล้ว (ไม่รวมของเถื่อนอีก) ได้รับความนิยมสูงมาก และครองตลาดอยู่นานมากๆ จนเรียกได้ว่า OS ของคอมส่วนใหญ่ในโลกนี้เป็น Windows XP โดย Windows XP นั้นเน้นการใช้งานส่วนบุคคล ชื่อ XP มาจากคำว่า Experience ซึ่งหมายถึง ประสปการณ์ โดย Microsoft บอกว่า ผู้ใช้จะได้รับประสบการณ์ใหม่ๆ จากการใช้ Windows XP ซึ่งคำพูดนี้เป็นจริงแค่ไหน เราทุกคนคงรู้กันดี Windows XP ออกมาแทนที่ Windows 2000 กับ Windows ME ได้สมบูรณ์ภายในเวลาไม่กี่ปี ซึ่งตอนแรกๆ ก็มีคำตำหนิเรื่องการทำงานอยู่บ้าง แต่หลังจากออก Service Pack 2 ในปี 2004 ที่เพิ่มประสิทธิภาพและความปลอดภัยเข้ามา มันก็กลายเป็น OS ที่ครองตลาด PC ไปเลย Windows XP มีออกมา 2 รุ่น คือ Windows XP Home กับ Windows XP Professional และมี Windows XP Media Center ตามออกมาทีหลังโดยเน้นความบันเทิงเป็นหลัก

การเปลี่ยนแปลงของ Windows XP ที่เห็นได้ชัดที่สุดก็เป็นเรื่องของ User Interface โดยเปลี่ยนจากแบบเหลี่ยมๆ เทาๆ มันเป็นแบบหน้ามน มีสีสันสดใส รวมทั้ง Icon ต่างๆ ก็ถูกเปลี่ยนใหม่ แสดงสีสันได้มากขึ้น มาพร้อมกับ Internet Explorer 6 ที่ไม่มีวันตาย Windows Media Player 8 (อัพเป็น 9 ใน SP2)
Windows-xp


Windows Vista
แต่เดิมใช้ชื่อว่า Longhorn มีการพัฒนาอย่างยาวนาน จนในที่สุดก็ออกมาวางขายในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2006 พร้อมกับเสียงก่นด่านับไม่ถ้วน ตั้งแต่เรื่องกินสเปค ทำงานช้า Error บ่อย ไม่ Support โปรแกรมเก่าๆ ฯลฯ ถึงแม้จะมีการออก Service Pack มาแก้ปัญหาถึง 2 ตัว จนมันทำงานได้ดีแล้ว แต่ชื่อ Windows Vista ก็จะถูกจดจำไปอีกนานในฐานะ Windows ที่ล้มเหลวที่สุดของ Microsoft
Windows Vista พัฒนาจาก XP ไปเยอะมาก ทั้งเรื่องระบบความปลอดภัย มีการใส่ User Account Control เข้ามา เพื่อสร้างความปลอดภัย+รำคาญให้กับผู้ใช้ Windows Aero ขอบหน้าต่างใสๆ ปรับปรุง+เพิ่มโปรแกรมด้าน Multimedia เช่น Windows Media Player 10,Windows DVD Maker ปรับปรุงระบบ API ใส่ .NET 3.0 มาให้ด้วยเลย และด้าน Network ก็มาพร้อมกับ Internet Explorer 7 ที่ไม่มีใครอยากใช้
Windows-vista
Windows 7
จากความล้มเหลวใน Vista ทำให้ Microsoft แก้ตัวใหม่ โดยรื้อระบบใหม่เยอะมากๆ ปรับปรุงด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัยให้ดีขึ้นไปอีก กินแรมน้อยลงกว่า Vista มาก สิ่งที่เปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดของ Windows 7 คือ Taskbar แบบใหม่ ที่เรียกว่า Superbar นอกนั้นก็เป็นการเพิ่มความสามารถใหม่เข้ามา รวมถึงปรับปรุงโปรแกรมเก่าๆ ที่อยู่คู่กับ Windows มาช้านาน เช่น Paint,Wordpad,Calculator โดย Windows 7 ได้รับคำชมจากผู้ใช้มา ตั้งแต่ออกตัว Beta มาแล้ว และหลังจากออกตัว RC 1 มาให้ใช้กันฟรี ๆ ถึง 1 ปี Windows 7 ก็ประสบความสำเร็จตั้งแต่วันแรกที่ออกวางจำหน่ายในวันที่ 29 ตุลาคม 2009 โดยคาดว่าในอีกไม่นาน Windows 7 จะมาเป็น OS หลักสำหรับ PC แทนที่ Windows XP ที่จะมีอายุครบ 10 ปี ในปีหน้า
Windows-7


อ่างอิงมาจากเว็บไซ


http://www.ohodownloads.com

www.google.co.th


ประเภทของแผ่น CD และ DVD(hardware)

ประเภทของแผ่น CD และ DVD
แนะนำประเภทของแผ่น CD และ DVD พร้อมรายละเอียดทางเทคนิค รวมถึงความเหมาะสมในการนำใช้งานครับ

• CD-ROM
เป็นแผ่นดิสก์สำหรับอ่านอย่างเดียว (Read-only) ไม่สามารถทำการเพิ่มเข้าหรือลบข้อมูลออกได้ โดยทั่วไปใช้ในการเก็บข้อมูลต่างๆและโปรแกรม เช่น แผ่น Setup CD ของวินโดวส์เอ็กซ์พี เป็นต้น
ความจุของแผ่นดิสก์: 650 MB
การใช้งาน: สามารถใช้งานได้กับไดร์ฟ CD/DVD ของเครื่องคอมพิวเตอร์และเครื่องเล่น CD หรือ DVD



• CD-R
เป็นแผ่นดิสก์ที่สามารถบันทึกข้อมูลได้มากกว่า 1 ครั้ง (การบันทึกแต่ละครั้งเรียกว่า Session) แต่ไม่สามารถทำการลบข้อมูลออกได้
ความจุของแผ่นดิสก์: 650 MB และ 700 MB
การใช้งาน: สามารถใช้งานได้กับไดร์ฟ CD/DVD ของเครื่องคอมพิวเตอร์และเครื่องเล่น CD หรือ DVD โดยการบันทึกแต่ละครั้งจะต้องทำการปิด Session ให้เรียบร้อย









• CD-RW
เป็นแผ่นดิสก์ที่สามารถบันทึกข้อมูลได้มากกว่า 1 ครั้ง และยังสามารถทำการลบข้อมูลออกได้ ทั้งนี้สามารถทำการบันทึกข้อมูลและลบข้อมูลได้หลายครั้ง
ความจุของแผ่นดิสก์: 650 MB
การใช้งาน: สามารถใช้งานได้กับไดร์ฟ CD/DVD ของเครื่องคอมพิวเตอร์และเครื่องเล่น CD หรือ DVD







• DVD-ROM
ป็นแผ่นดิสก์สำหรับอ่านอย่างเดียว (Read-only) ไม่สามารถทำการเพิ่มเข้าหรือลบข้อมูลออกได้ โดยทั่วไปใช้ในการเก็บข้อมูลต่างๆและโปรแกรมที่มีขนาดใหญ่ เช่น แผ่น Setup CD ของวินโดวส์วิสต้า เป็นต้น
ความจุของแผ่นดิสก์: 4.7 GB
การใช้งาน: ามารถใช้งานได้กับไดร์ฟ DVD ของเครื่องคอมพิวเตอร์และเครื่องเล่น DVD



• DVD-R
เป็นแผ่นดิสก์ที่สามารถบันทึกข้อมูลได้มากกว่า 1 ครั้ง (การบันทึกแต่ละครั้งเรียกว่า Session) แต่ไม่สามารถทำการลบข้อมูลออกได้
ความจุของแผ่นดิสก์: 4.7 GB
การใช้งาน: สามารถใช้งานได้กับไดร์ฟ DVD ของเครื่องคอมพิวเตอร์และเครื่องเล่น DVD โดยการบันทึกแต่ละครั้งจะต้องทำการปิด Session ให้เรียบร้อย



• DVD+R
ป็นแผ่นดิสก์ที่สามารถบันทึกข้อมูลได้มากกว่า 1 ครั้ง (การบันทึกแต่ละครั้งเรียกว่า Session) แต่ไม่สามารถทำการลบข้อมูลออกได้
ความจุของแผ่นดิสก์: 4.7 GB
การใช้งาน: สามารถใช้งานได้กับไดร์ฟ DVD ของเครื่องคอมพิวเตอร์และเครื่องเล่น DVD โดยการบันทึกแต่ละครั้งจะต้องทำการปิด Session ให้เรียบร้อย

• DVD-RW
เป็นแผ่นดิสก์ที่สามารถบันทึกข้อมูลได้มากกว่า 1 ครั้ง และยังสามารถทำการลบข้อมูลออกได้ ทั้งนี้สามารถทำการบันทึกข้อมูลและลบข้อมูลได้หลายครั้ง
ความจุของแผ่นดิสก์: 4.7 GB
การใช้งาน: สามารถใช้งานได้กับไดร์ฟ DVD ของเครื่องคอมพิวเตอร์และเครื่องเล่น DVD โดยการบันทึกแต่ละครั้งจะต้องทำการปิด Session ให้เรียบร้อย

• DVD+RW
เป็นแผ่นดิสก์ที่สามารถบันทึกข้อมูลได้มากกว่า 1 ครั้ง และยังสามารถทำการลบข้อมูลออกได้ ทั้งนี้สามารถทำการบันทึกข้อมูลและลบข้อมูลได้หลายครั้ง
ความจุของแผ่นดิสก์: 4.7 GB
การใช้งาน: สามารถใช้งานได้กับไดร์ฟ DVD ของเครื่องคอมพิวเตอร์และเครื่องเล่น DVD โดยการบันทึกแต่ละครั้งจะต้องทำการปิด Session ให้เรียบร้อย

• DVD-RAM
เป็นแผ่นดิสก์ที่สามารถบันทึกข้อมูลได้มากกว่า 1 ครั้ง และยังสามารถทำการลบข้อมูลออกได้ ทั้งนี้สามารถทำการบันทึกข้อมูลและลบข้อมูลได้หลายครั้ง
ความจุของแผ่นดิสก์: 2.6 GB / 4.7 GB / 5.2 GB / 9.4 GB /
การใช้งาน: ใช้งานกับไดร์ฟแบบ DVD-RAM เท่านั้น ไม่สามารถอ่านด้วยเครื่องเล่น CD หรือ DVD ได้


อ่างอิงมาจากเว็บ
http://thaiwinadmin.blogspot.com

ประวัติและต้นกำเนิดของ B-boy


      ประวัติและต้นกำเนิดของ B-boy (Breakdance,Breaking)



The Original Hip-Hop 
การเต้นชนิดหนึ่งที่เป็น  element หนึ่งใน 4 ของ Hip-Hop ซึ่งได้แก่ MC , DJ , Graffiti และ B-boy กำเนิดจากชนท้องถิ่น American African และ Puerto Rican ใน South Bronx ของ New York city ประเทศสหรัฐอเมริกาในช่วงต้นปี 1970 ด้วยอิทธิพลของเพลง Funk และเพลง Soul   DJ Kool Herc เป็น DJ คนแรกที่เริ่มจัด Block party เป็นครั้ง เพื่อให้วัยรุ่นในสมัยนั้น เข้ามาร่วมเต้นรำกันใน party ของเขาและเขาเป็นคนแรกที่ริเริ่มการ mix และเล่นเพลงตัดต่อแบบสดๆอย่างต่อเนื่องจนเรียกกันว่าเป็นจังหวะ  “Breakbeat" ซึ่งสามารถทำให้ ผู้เต้นสามารถโชว์ทักษะที่มีต่อเพลง ออกมาจากท่าเต้นได้ด้วยการเต้นได้กลายเป็นที่แพร่หลายในเวลาต่อมา B-boy ในยุคแรกเริ่มการเต้น

B-boy Art Form

ในปี 1969 James Brown เป็นเจ้าพ่อเพลงแนว Funk เพลง Soul ได้จุดประกายให้วัยรุ่นในยุคนั้นเริ่มรู้จักการเต้นด้วยเพลง “ Get on the good foot "  เป็นเพลงแรกที่วัยรุ่นในยุคนั้นรู้จักและเริ่มลอกเลียนแบบท่าเต้นจาก James Brown ที่เรียกกันว่า Good foot (พื้นฐานการเต้นในยุคนั้นมาจากการเต้น Hustle) จนต่อมามีคนนำการเต้นชนิดนี้มาเต้นกับเพลง Breakbeat จึงได้ตั้งชื่อมันว่า B-boy
 ชื่อนี้มีหลายความหมาย คือ Break boy ,Bronx boy, Boogie boy เป็นต้น  ในเวลาต่อมาก็เริ่มมีท่าที่ยึดถือว่าเป็น Original Toprock form เป็นท่าแรกของ B-boying เลยคือท่า "Indian step" ว่ากันว่านำมาจากการเต้นแบบ folk ของ India ซึ่งวัยรุ่นสมัยนั้นลอกเลียนแบบมาจากภาพยนตร์ของอินเดีย ตั้งแต่ยุคแรกเริ่มยังไม่มีการลง Footwork แต่อย่างใด ครั้งแรกที่มีการลงสู่พื้นเป็นพื้นฐานของมีแรบงบรรดาลใจมาจากการเต้นของนักเต้น Tap 3 คน ที่ชื่อ " Will Maston Trio หรือAKA.Piggy Wiggly Boogie" บางคนได้แรงบันดาลใจมาจากการเต้น Folk ของ Russia ต่อมาคือท่า Freezes ซึ่งท่านี้เป็นองค์ประกอบสุดท้ายของการเต้น B-boy เพราะหลังจากการเต้น ทุกคนต้องการท่าจบแต่ในสมัยนั้นยังไม่มีการลงไป Freezes แบบที่เห็นในปัจจุบัน เป็นเพียงท่าจบที่เท่ห์และให้




ทุกคนในบริเวณนั้นจำเราได้ว่าเราเป็นใคร อย่างที่ "Nigger Twin" ได้กล่าวไว้ว่า "ในสมัยนั้นเราเต้น เราสนุกสนาน เราเท่ห์ เราลงไปบนฟลอร์ อย่างมีชั้นเชิงและไม่เคยลุกขึ้นมาแล้วเนื้อตัวสกปรกเลย" ต่างกับสมัยนี้อย่างสิ้นเชิง ต่อมาได้มีการพัฒนาท่าที่เรียกว่า  “ Powermoves ” เป็นท่าที่ ต้องใช้พลังในการขยับร่างกายสูงมาก เพราะท่าเหล่านี้ได้แรงบันดาลใจมาจากท่ามากมากเช่น Kung-Fu , Capoeira ,Gymnastic และ กายกรรม เป็นต้น ท่า Powermoves เป็นเพียงแค่ส่วนประกอบหนึ่งที่ทำให้การเต้นนี้โดดเด่นเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตามมันไม่ใช่การเต้น   ในเวลาต่อมาได้มีการพัฒนาท่าต่างๆให้ดูคล่องแคล่วและน่าสนใจมากขึ้นเพราะ B-boy คือความเป็นตัวของตัวเองซึ่ง B-boy ที่แท้จริงต้องการคือ Style ของตัวเอง (Original style)มีท่าเป้นของตัวเองซึ่งถ้ามีใครที่นำ ท่าที่บางคนคิดขึ้นแล้วนำไปลอกเลียนแบบ นั้นถือว่าเป็นการ copy หรือเรียกกันว่า “ Bite “ หัวใจของการเต้นชนิดนี้ไม่ใช่การ การลอกเลียนแบบ แต่มันคือการ copy เพื่อที่จะมา ดัดแปลงอย่างฉลาด เพื่อไม่ให้เหมือนใครและไม่ให้มีใครเหมือนตัวเอง นั่นคือสิ่งที่ยากที่สุดในการเต้น B-boy เพราะทุกคนเต้นเหมือนกัน แค่จะทำอย่างไรให้คนที่ดูคุณจำคุณได้ เท่านั้นเอง โดยผ่าน 4 องค์ประกอบของการเต้นนี้คือ Toprock ,Footwork ( Floorwork , Downrock ),Freezes และ Powermoves

Battle culture

ต่อมาการเต้น B-boyเริ่มเป็นที่แพร่หลายมากขึ้นสู่กลุ่ม gang วัยรุ่นต่าง วัฒนธรรมการbattle ได้ถือกำเนิดขึ้น การ battle สามารถเกิดขึ้นได้หลายกรณี เพื่อให้อีกกลุ่มหนึ่งที่เป็นฝ่ายตรงข้ามรู้ว่ากลุ่มของตนเองเจ๋งกว่า อาจะเกิดขึ้นได้จากปัญหาเพียงแค่เหยียบเท้ากันก็ได้ คนแพ้ไม่สามารถที่จะมาเหยียบหรือเดินในถื่นของผู้ชนะได้เลย การเต้นชนิดนี้คือวิถีทางของการตัดสินปัญหาระหว่าง gang ในยุคนั้น บางครั้ง battle กันเพื่อต้องการการ Respect (ความเคารพ) ของอีกฝ่ายคล้ายๆกับกันเช็ครุ่นอะไรแบบนั้น แต่การ battle ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะสามารถทำให้คนสามารถหยุดการทะเลาะวิวาทได้เพราะคนแพ้ย่อมไม่ชอบที่จะแพ้เช่นกัน แต่อย่างไรก็ตาม B-boy ทำให้สังคมใน  Bronx ,New York city ลดปัญหาเรื่องการทะเลาะวิวาทได้มากทีเดียว

First B-Boy Crews

B-boy crew (ทีม B-boy) ทีมแรกที่ที่เกิดขึ้น คือ "Zulu Kingz" ในปี 1969
Afrika Bambataa เจ้าพ่อแห่งวงการ Hip-Hop ซื่งเป็น Legendary DJ ที่มีคุณประโยชน์ต่อการเติบโตของ B-boy มาก โดย ออกเพลง "Looking for the perfect beat" ใน album "Soul Sonic Force" และเป็นหัวหน้าของ กลุ่ม Zulu nation อีกด้วย   Zulu kingz ชนะการแข่ง ขันมากมายเพื่อกลุ่ม  Zulu nation  Bambataa มองว่าการเต้น B-boy เป็นมากกว่าการเต้นเค้าเป็นความสำเร็จของมัน เค้าเห็นความสามารถของ B-boy และอยากเป็นแรงสนับสนุน เพื่อให้เหล่า B-boy คงอยู่รักษามันและ มีความเชื่อที่จะรักษาการเต้นนี้ให้ดำรงอยู่ เชื่อที่จะติดอยู่กับมัน เพราะสิ่งที่ดีมาจาก B-boy
Hip-Hop is Back

ในปี 1977 การกลับมาอีกครั้ง ของ B-boy ได้เริ่มขึ้นกับ กลุ่มใหม่ B-boy กลุ่มใหม่กำเนิดขึ้นคือ  Rocksteady crew แม้ว่าคนในยุคนั้นจะมองว่าพวกเขาเป็นเพียงแฟชั่นเก่าก็ตาม แต่ Afrika Bambataa ก็ได้ให้การสนับสนุนอีกครั้ง โดยให้  Rocksteady crew ได้ไปแสดง ใน Mudd Club, the Ritz และผับอื่นๆแม้แต่ Punk rock clubs รอบๆใน  New York เมื่อครั้งที่ Rocksteady crew แสดงให้กับ Malcom McLaren and Bow Wow Wow ที่ The Ritz ผู้คนเริ่มสนใจ B-boy อย่างจริงจังและคิดว่า trend B-boy กลับมาแล้วปี 1981 มีภาพยนตร์ที่ชื่อว่า Wild style โดย Charles Ahearn โดยเนื้อหาจะเกี่ยวกับ วัฒนธรรม Hip-hop โดยโชว์ Rapping, Graffiti, scratching (DJing) และ B-boying โดยทุกอย่างจะคงความดิบและสดในย่าน Bronx และ Charles Ahearn ได้จ้าง Rocksteady crew มาเล่นในภาพยนตร์ของเขา ต่อมา Rocksteady crew ก็กลายเป็นที่รู้จักโด่งดังไปพร้อมกับ B-boy new style ก็เป็นที่โด่งดังในเวลาต่อมา B-boy new style ไม่เพียงแค่  Toprock ,Footwork และ Freezes ยังสามารถทำ Powermoves ได้อีกด้วย เช่น Headspin ,Handglide ,Backspin ,Windmill เป็นต้น   ฤดูใบไม้ผลิในปี 1982 The Roxy ที่เล่น skateได้ถูกสร้างขึ้น เป็นสถานที่เล่น skate ของนคร New york แต่ต่อมาความนิยมของการเล่น skate ได้ตกต่ำลงในเดือน มิถุนายน ปี1982 ต่อมา Pat Fuji เปลี่ยน the Roxy ให้กลายเป็น dance club ในทุกๆคืนวัน พฤหัส ,ศุกร์ และ เสาร์  The Roxy กลายมาเป็นจุดศุนย์กลางของ Hip-Hop อย่างรวดเร็ว ที่นี่เป็นสถานที่ๆ rappers, D.J.'s และ B-boys ชอบมาแสดงและผ่อนคลายกัน ถ้าคุณต้องการ B-boy B-girl สำหรับโชว์หรือวีดีโอของคุณคุณต้องมาหาที่ the Roxy หรือเพียงต้องการที่จะมาดูหรือเรียนรู้ท่าใหม่ๆก็ให้คุณมาที่ The Roxy นอกเหนือจากนั้น The Roxy ยังได้ sponsor งานแข่ง b-boy ต่างๆด้วยและช่วยให้ผู้ชนะได้เป็นที่รู้จักอีกด้วย เดือนมิถุนายน 1983 Pat Fuji ได้จ้างนักเต้น Jazz มืออาชีพ ชื่อ Rosanne Hoare เพื่อบริหาร Hip-Hop center แห่งนี้ซึ่งเป็นบ้านของ street culture คือ Breakdancing, rapping, DJing และ graffiti art เธอได้สร้าง บ้านเพื่อ support วัฒนธรรม Hip-Hop อย่างเป็นทางการ อย่างที่ศิลปะข้างถนนไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เธอยังสร้าง Home for Breakdancersที่ๆเหมือนบ้านที่ฝึกซ้อมเพียงเท่านั้นแต่เธอยังจะจัดหางานโชว์ ต่างๆให้อีกด้วย และสิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือเธอยังเป็นเพื่อนที่ดีกับทุกคนในบ้านแห่งนี้อีกด้วย เธอช่วยเหลือ B-boy ให้ยังคงอยู่


ประวัติและต้นกำเนิดของ Hip-Hop

Old school hip hop (1979-1985)
ก่อนที่เพลง Rap จะถือกำเนิดขึ้นดนตรี style Hip Hop   ในยุคแรกๆเกิดจากการ Mix เสียงกลองเพอร์คัสชั่น เข้ากับเพลงที่โด่งดังในยุค 70 มากลายเป็นจังหวะที่ผสมผสานกันอย่างลงตัวโดยในยุคนั้น DJ Kool Herc เป็นผู้ริเริ่มการ mix เพลงแบบนี้ขึ้นและให้ชื่อจังหวะเหล่านี้ว่า “Break beat”


The Herculoids เป็นกลุ่ม Rapper ในสมัยแรกๆซึ่งประกอบไปด้วย DJ Kool Herc ,Coke La Rock และ Clark Kent ซึ่งเป็นกลุ่ม Rapper รุ่นบุกเบิกเลยก็ว่าได้ ในสมัยนั้นเรียก การ Rap ว่า“ Emceeing “ (MC)  ต่อมา กลุ่ม The Herculoids ก็เริ่มแพร่ขยายการ Rap จาก Party ที่ DJ Kool Herc จัดเป็น Party แบบ Block party ซึ่ง Rapper ในสมัยนั้นจะ Rap นั้นจะเป็นการเชีนร์อัพคนที่อยู่ใน party เพื่อให้ทุกคนได้มีส่วนร่วมไปกับเพลงด้วย ซึ่งจะเป็นการ rap แบบนับ 4 จังหวะง่ายๆและมักจะเป็นการคิดสดในทันที ในสมัยนั้นการ rap จะใช้เวลาเป็นชั่วโมงๆ ในBlock party เพื่อความสนุกสนาน   รากฐานของการป่าวประกาศ style ชาว Jamica ด้วย

  
Next Generations (1986-1997)

ความนิยมที่เกิดขึ้น
Hip-Hop รุ่นใหม่เริ่มขึ้นด้วยความโด่งดังของ Run DMC  อัลบั้ม Raising Hell ในปี 1986 เป็นแนวของเมือง New york city  ร้องร่วมด้วยกับ Rapper ชั้นนำ ซึ่งมีการรวบรวมเทคนิคต่างๆ ทั้งการเล่นคำ การส่งคำ และ ประโยคต่างๆของรูปแบบการ Rap ต่อมาค่ายเพลงอิสระที่เป็นที่รู้จักกันในนาม Def Jam Recordings  ซึ่งกลายมาเป็นสัญลักษณ์ของฝั่ง East coast ( ฝั่งอเมริกาตะวันออก ) ในปี1984  ยุคทองของ Hip-Hop ยังมี  Rapper ที่น่ายกย่องมากที่สุดคือ Big Daddy Kane และ  Kool G Rap  ของ Cool Chillin’ Records และ Rakim  ของคู่หูผู้มีอิทธิพลต่อวงการ Eric B & Rakim อัลบั้ม Paid in Full  ในปี 1987 เป็นอัลบัมอีกอัลบั้มหนึ่งของ Hip-Hop ที่น่ารำลึกถึงในยุคนี้

Ice-T เป็น Rapper ที่ rap เกี่ยวกับการเมืองครั่งแรก ในปี 1984 กับ single  ชื่อว่า “Killers” ในปี 1988 Public Enemy  ออกอัลบั้ม “ It takes a Nation of Millions to hold Us Back “ ซึ่งเนื้อหาจะมุ่งประเด็นไปในเรื่องของการเมือง ตั้งแต่ต้นจนจบ ในปีเดียวกัน Boogie Down Productions ก็ได้ออกอัลบั้ม  By All Means Necessary   ซึ่งทำให้การ Rap ในเนื้อหาในแนวนี้แข็งแกร่งขึ้น ทั้งสองอัลบั้มเป็นผู้บุกเบิกให้กับ Rapper ที่ Rap เกี่ยวกับการเมืองมากมาย  Rapper ที่เป็นผู้บุกเบิกเทคนิคใหม่ๆในการ Rap ด้วย และในปีเดียวกับ “ It takes a Nation of Millions to hold Us Back “ ของ Public Enemy ออกมานั้น เป็นปีที่อัลบั้มคู่ของ DJ Jazzy Jeff & The Fresh Prince (Will Smith) ชนะรางวัล Rap Award รางวัลแรกของ Grammy Award  แต่รางวัลของทั้งสองก็ไม่ได้ถูกประกาศออกอย่างเป็นทางการทางทีวี เนื่องด้วยปัญหาการคัดค้านในมุมกว้างของ ศิลปิน Rap ทั่วไป


Style ดนตรี Hip-Hop ต่างๆ
ในปี 1988 และ 1989 ศิลปินจาก Native Tongues Posse ออกอัลบั้มแรกที่ชื่อว่า Conscious Hip Hop ด้วยรูปแบบที่มี การนำดนตรี Jazz มาเป็นลองเป็นพื้นฐาน มีความหลากหลายมีทั้ง สำนวน และเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการเมืองมากขึ้น ด้วยหลากหลายหัวข้อทางการเมือง (style Jazz Rap) ซึ่งมีอิทธิพลมากมายมาจาก Afrocentric  ซึ่งเป็นข้อความของ Bambaataa’s แห่ง Zulu Nation  อัลบั้มนี้กลายมาเป็นผู้เบิกทางให้กับ A Tribe Called Quest  อัลบั้ม The Low End Theory ที่ออกมาในปี 1991  และ อัลบั้มนี้ก็กลายเป็น อัลบั้มที่นักวิจารณ์ และแฟนๆ พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเป็นอัลบั้ม Jazz Rap ยอดเยี่ยมที่เคยมีมา John Bush แห่ง All music (ฐานข้อมูลเพลงแหล่งใหญ่) ได้ให้คำจำกัดความกับอัลบั้มนี้ไว้ว่า เป็นอัลบั้มหนึ่งที่เป็นการผสมผสานระหว่าง Jazz และ Hip-Hop โดยมีอารมณ์บรรยากาศของ Jazz อยู่ในรูปแบบของ Hip-Hop ที่ลงตัว

นอกเหนือจากนี้ดนตรีแนวนี้ยังเป็นที่นิยมในช่วงต้นปี 1990s  ต่อมา Hip-Hop ได้แหวกกฏเกณฑ์ทางภาษา โดยเริ่มมีการ Rap ในภาษาสเปนเกิดขึ้นและ style ของดนตรีก็ได้นำการผสมผสานเอาเครื่องดนตรีและกลิ่นแบบสแปนิชเข้าไปด้วยเพลง Rap ที่ทำให้เข้าใจยาก ศิลปินอย่างเช่น Kid Frost ,Mellow Man Ace ,Gerardo และ El General เป็นรู้จักกันมากขึ้นในต่างประเทศด้วย ทำให้ชาว สเปนติดหูกับสิ่งที่พวกเขาสื่ออกมาจากวัฒนธรรม Hip-Hop ก่อนที่จะมีวง Rap เปอร์โตริกัน แต่อย่างไรก็ตามวัยรุ่นชาวเปอร์โตริกัน ที่อาศัยอยู่ใน El Barrio และ South Bronx ได้เริ่มเข้ามาอยู่ในวัฒนธรรม Hip-Hop มาตั้งแต่ปี 1970 แล้ว เพราะไม่ใช่แค่นักร้อง rap super star จากปี 1990’s ที่ทำให้ชาวเปอร์โตริกัน แม็กซิกัน เข้ามานิยมและสนใจวัฒนธรรม Hip-Hop เพียงเท่านั้น  Hip-Hop กลายมาเป็นวัฒนธรรมที่แบ่งช่องว่างให้กับการใช้ภาษาโดยที่จะเป็นทางเลือกและมุมมองใหม่และเปิดกว้างในการใช้ภาษาอื่น ประกอบกับภาษาอังกฤษในเพลง rap ด้วย กลายเป็นรูปแบบวัฒนธรรมร่วมของการแสดงออกด้วย

ความคิดเกี่ยวกับ Gangster Rap
Ice T อัลบั้ม “6n’ Da Mornin” ในปี 1986 เป็นอัลบั้มแรกจากฝั่งตะวันตกของอเมริกา (West Coast Hip-Hop) ที่ประสบความสำเร็จมากและกล่าวถึงเนื้อหาเกี่ยวกับ Gangster และพูดได้ว่าเป็นยุคแรกเริ่มของ ความคิดเกี่ยวกับ Gangster Rap   ในปี 1988 กลุ่ม Rapper ที่มีชื่อ ว่า N.W.A ได้ออกอัลบั้ม “Straight Outta Compton” อัลบั้มนี้ทำให้เกิดความนิยมเพลงในแนว Gangster Rap จนกลายเป็นที่นิยมมากตั้งแต่ปี 1990 เป็นต้นมา ทำให้เกิด Rapper ใน style นี้มานับไม่ถ้วน รวมไปถึง



The Notorious B.I.G. ,Puff Daddy ,Eazy E ,Dr. Dre ,Bone Thugs N Harmony ,Snoop Doggy และ Tupac Shakur

Dr. Dre อัลบั้ม The Chronic ในปี 1992 เป็นอลับั้มที่เป็นตัวผลักดันให้เห็น style ของ Hip-Hop ตะวันตก (West Coast Hip-Hop) อย่างแท้จริงในปี 1990 Gangster Rap กลายมาเป็นแรงผลักดันใหม่จากอัลบั้ม The Chronic ของ Dr. Dre นั้นทำให้เกิด style เพลง Hip-Hop แนวใหม่ขึ้นที่เรียกว่า G-funk โดย style นี้จะใช้เพลง Funk จาก ยุค 70 มาทำใหม่ เพียงการนำเสียงดนตรีของเพลง Funk ในยุค 70 มาทำให้หนักหน่วงและลดจังหวะให้ช้าลง  ตั้งแต่นั้นมา style G-funk เริ่มเข้ามาครอบงำ แนวดนตรีของ Hip-Hop ในฝั่งตะวันตกของอเมริกา ( West Coast Hip-Hop )  G-funk กลายมาเป็นที่นิยมและมีความหลากหลายมากในช่วงต้นปี 1990 แต่อย่างไรก็ตาม Hip-Hop ในฝั่ง New York City ก็ไม่ได้ศูนย์หายไป แต่ก็ยังคงอยู่อย่างสมบูรณ์

West Coast Hip-Hop ตั้งแต่ต้นยุค 90 มาจนถึงช่วงกลาง ยุค 90 ก็ได้ถือกำเนิด Rapper ที่เป็นตำนานคือ Tupac Shakur ผู้ที่มีประวัติการติดคุกมากที่สุด เค้ากลายมาเป็น idol ของฝั่งอเมริกาจะวันตกไปเลย จากอัลยั้ม Me Against the World และเป็นแรงบันดาลใจที่ยอดเยี่ยมจากอัลบั้ม All Eyez on Me เป็นที่เลื่องชื่อของ Hip-Hop ตั้งแต่ ปี 1990 เป็นต้นมา การตายของเค้าที่เหมือนกับ Notorious B.I.G. ทำให้เพลง rap ที่พวกเขามาทำลายตัวของเขาเองและจบชีวิดด้วยเนื้อของเขาเอง ด้วยเนื้อหาที่เกี่ยวกับความรุนแรงและการต่อต้านอำนาจรัฐ และ ตำรวจ

การจบสิ้นของยุคสมัย
ในช่วงที่มีแต่การถกเถียงกันมากเกี่ยวกับ Hip-Hop อย่างไรก็ตามมันก็ยังคงเป็นยุคทองของ Hip-Hop อยู่ดี มีการถกเถียงกันมากมายว่าความนิยมของ เพลง Hip-Hop กำลังเสื่อมลงตั้งแต่ปี 1990  เป็นต้นไป มีหลายจุดที่ทำให้คนคิดว่า Hip-Hop กำลังเสื่อมความนิยมลงคือ ตั้งแต่วันที่ Tupac Shakur เสียชีวิตในปี 1996 บางคนก็ว่าตั้งแต่วันที่ Notorious B.I.G. เสียชีวิตในปี 1997 แต่ก็มีเหตุผลอื่นที่พิสูจน์ว่า Hip-Hop กำลังเสื่อมความนิยมลงคือ พฤติกรรมของ Rapper เช่น The Notorious B.I.G. และ Puff Daddy ที่มีเรื่องมีราวบ่อย และ ยังมีเรื่องที่ วง Public Enemy พิสูจน์ว่า Hip-Hop ได้เสื่อมความนิยมลงอย่างเห็นได้ชัด บางคนก็บอกว่าเป็นความไม่ยุติธรรมที่ค่ายเพลงที่อัดเสียง ดูแลศิลปินไม่ดีซึ่ง บ่งบอกว่าเพลง Hip-Hop ไม่มีการพัฒนาไปอีกแล้ว นอกเหนือจากนั้น วง A Tribe Called Quest อัลบั้มล่าสุดของพวกเค้าในปี 1998 ได้ตั้งชื่ออีกว่า “Hip-Hop is Dead” และได้มีศิลปินอีกหลายคนร้องมันออกมาก่อนที่จะมีอัลบั้มของ NAS ที่ ชื่อว่า “Hip-Hop is Dead”

NEW ERA of Hip-Hop (ปี 1998 มาจนถึงปัจจุบัน)

ความนิยมในต่างประเทศ (นอกอเมริกา)

ตั้งแต่กลางปีมาจนถึงปลายปี 1990 เป็นต้นมา ดนตรี Hip-Hop กลายมาเป็นแนวดนตรีที่มีความนิยมมากไม่ใช่แค่ในสหรัฐอเมริกาเพียงเท่านั้นแต่มันขยายวงกว้างไปทั่วโลก ความนิยมอันแข็งแกร่งนี้ทำให้ Hip-Hop มีการพัฒนาไปข้างหน้า ระหว่างที่คนอื่นกำลังมองว่า Hip-Hop ในอเมริกากำลังหมดความนิยมไป ความนิยมนี้ทำให้เกิดภาพลักษณ์ของ Rapper ขึ้นในช่วงนี้ซึ่งเรียกกันว่า “Jiggy/bling” เพลง Rap บางครั้งก็เป็น Pop Rap ซึ่งถูกเรียกว่า Jiggy ( ‘Jiggy’ มาจากเพลงของ Will Smith มาจากเพลง “Getting’ Jiggy With It” ของเค้านั้นเอง ) ส่วนคำว่า bling นั่นหมายถึงเครื่องประดับที่ประดับไปด้วยเพชรแวววาวนั่นเอง

ความสำเร็จและการปรับเข้ากับสังคม
ครึ่งปีหลังจากปี 1990 ตอนใต้ของอเมริกาก็ได้มีความนิยมที่เติบโตขึ้นเป็นวงกว้างของเหล่าแฟนๆของ OutKast ,No Limit และ Cash Money Records  ในอีก 10 ปี ให้หลังจากปี 1990 การเจริญเติบโตของ Hip-Hop ที่เริ่มจะดูดซึมในรูปแบบดนตรีแนวใหม่ที่เรียกกันว่า ” Neo Soul “ เป็นการผสมผสานระหว่างดนตรี Hip-Hop และดนตรี Soul ซึ่งมีการผลิตนักร้องของแนวดนตรีนี้ให้เกิดขึ้นในช่วงกลางๆของ 10 ปีที่ผ่านมาจากปี 1990


อ่างอิงมาจาก

http://backtobionic.com/?s=hip+hop 

ประวัตส่วนตัว



ประวัตส่วนตัว
ชื่อ - สกุล

นาย จิรายุ   ยุวณวรรธนะ

ชื่อเล่น           เกม

วัน เดือน ปี เกิด        อาทิตย์ ที่ 18 เมษายน 2536 ปีระกา

สถานภาพ     โสด

ศาสนา           พุทธ

ส่วนสูง น้ำหนัก        164 cm 45kg

สถานศึกษา  วิทยาลัยเทคนิคสมุทรสาคร

ภูมิลำเนาเดิม            จังหวัดสมุทรสาคร

ที่อยู่ที่สามารถติดต่อได้      18282

เบอร์โทรศัพท์           0804270376

E-Mail  game_roxsun@hotmail.com

งานอดิเรก     เต้น b-boy
คติประจำใจ  การกระทำตัดสินเราเท่าๆกับเราตัดสินใจทำ

พุทธประวัติ


พุทธประวัติ


1.ประสูติ


- พระพุทธเจ้ามีพระนามเดิมว่า "สิทธัตถะ" เป็นพระราชโอรสของพระเจ้า สุทโธทนะ กษัตริย์ผู้ครองกรุงกบิลพัสดุ์ แคว้นสักกะ ซึ่งปัจจุบันตั้งอยู่ทางภาคใต้ของประเทศเนปาล พระราชมารดาทรงพระนามว่า "พระนางสิริมหามายา" ซึ่งเป็นพระราชธิดาของกษัตริย์ราชสกุลโกลิยวงศ์แห่งกรุงเทวทหะ แคว้นโกลิยะ
- เจ้าชายสิทธัตถะประสูติเมื่อ 80 ปีก่อนพุทธศักราช ที่สวนลุมพินีวัน ณ ใต้ต้นสาละนั้น ซึ่งอยู่ระหว่างพรมแดนกรุงกบิลพัสดุ์และกรุงเทวทหะ(ปัจจุบันคือ ต.รุมมินเด ประเทศเนปาล) ได้มีพราหมณ์ทั้ง 8 ได้ทำนายว่า เจ้าชายสิทธัตถะมีลักษณะเป็นมหาบุรุษ คือ ถ้าดำรงตนในฆราวาสจะได้เป็นจักรพรรดิ ถ้าออกบวชจะได้เป็นศาสดาเอกของโลก แต่โกณฑัญญะพราหมณ์ผู้อายุน้อยที่สุดในจำนวนนั้น ยืนยันหนักแน่นว่า พระราชกุมารสิทธัตถะจะเสด็จออกบวชและจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน

-
ทันทีที่ประสูติ ทรงดำเนินด้วยพระบาท 7 ก้าว มีดอกบัวผุดรองรับ ทรงเปล่งพระวาจาว่า "เราเป็นเลิศที่สุดในโลก ประเสริฐที่สุดในโลก การเกิดครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายของเรา"

2.วัยเด็ก


- หลังประสูติได้ 7 วัน พระนางสิริมหามายาสิ้นพระชนม์ จึงทรงอยู่ในความดูแลของพระนางปชาบดีโคตมี ซึ่งเป็นพระกนิษฐาของพระนางสิริมหามายา
- ศึกษาเล่าเรียนจนจบระดับสูงของการศึกษาทางโลกในสมัยนั้น ค์อ ศิลปศาสตร์ถึง 18 ศาสตร์ ในสำนักครูวิศวามิตร
- พระบิดาไม่ประสงค์จะให้เจ้าชายสิทธัตถะเป็นศาสดาเอก จึงพยายามให้สิทธัตถะพบแต่ความสุขทางโลก เช่น สร้างปราสาท 3 ฤดู และเมื่ออายุ 16 ปี ได้ให้เจ้าชายสิทธัตถะอภิเษกกับนางพิมพาหรือยโสธรา ผู้เป็นพระธิดาของพระเจ้ากรุงเทวทหะซึ่งเป็นพระญาติฝ่ายพระมารดา
- เมื่อมีพระชนมายุ 29 ปี พระนางพิมพาก็ให้ประสูติ ราหุล (บ่วง)

3.สด็จออกผนวช




- เมื่อทอดพระเนตรเห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณตามลำดับ จึงทรงคิดว่าชีวิตของทุกคนต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนั้น ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้ จึงเกิดแนวความคิดว่า
-ธรรมดาในโลกนี้มีของคู่กันอยู่ เช่น มีร้อนก็ต้องมีเย็น , มีทุกข์คือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ก็ต้องมีที่สุดทุกข์ คือ ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย
-ทรงเห็นความสุขทางโลกเป็นเพียงมายา ความสุขในกามคุณเป็นความสุขจอมปลอม เป็นเพียงภาพมายาที่ ชวนให้หลงว่าเป็นความสุขเท่านั้น ในความจริงแล้วไม่มีความสุข ไม่มีความเพลิดเพลินใดที่ไม่มีความทุกข์เจือปน
-วิถีทางที่จะพ้นจากความทุกข์ของชีวิตเช่นนี้ได้ หนทางหลุดพ้นจากวัฏสงสาร จะต้องสละเพศผู้ครองเรือนเป็นสมณะ

- หลังจากทรงผนวชแล้ว จึงทรงมุ่งไปที่แม่น้ำคยา แคว้นมคธ เพื่อค้นคว้าทดลองในสำนักอาฬารดาบส กาลามโครตร และอุทกดาบส รามบุตร เมื่อเรียนจบทั้งสองสำนัก (บรรลุฌาณชั้นที่แปด) ก็ทรงเห็นว่าไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ตามที่มุ่งหวังไว้
    - จากนั้นจึงเสด็จไปที่แม่น้ำเนรัญชรา ในตำบลอุรุเวลาเสนานิคม (ปัจจุบันนี้สถานที่นี้เรียกว่า       ดงคศิริ) เมื่อบำเพ็ญทุกรกิริยา โดยขบฟันด้วยฟัน กลั้นหายใจและอดอาหาร หลังจากทดลองมา 6      ปี ก็ยังไม่พบทางพ้นทุกข์ จึงทรงเลิกบำเพ็ญทุกรกิริยา หันมาบำรุงพระวรกายโดยปกติตามพระราชดำริว่า "เหมือนสายพิณควรจะขึงพอดีจึงจะได้เสียงที่ไพเราะ" ซึ่งพระอินทร์ได้เสด็จลงมาดีดพิณถวาย พิณสายหนึ่งขึงไว้ตึงเกินไป พอถูกดีดก็ขาดผึงออกจากกัน จึงพิจารณาเห็นทางสายกลางว่า เป็นหนทางที่จะนำไปสู่พระโพธิญาณได้
- ระหว่างที่ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยา ปัญจวัคคีย์ (โกญฑัญญะ วัปปะ ภัททิยา มหานามะ อัสสชิ) มาคอยปรนนิบัติพระองค์โดยหวังว่าจะทรงบรรลุธรรมวิเศษ เมื่อพระองค์เลิกบำเพ็ญทุกรกิริยา ปัญจวัคคีย์จึงหมดศรัทธา พากันไปอยู่ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เมืองพาราณสี (ต.สารนาถ)

4.ตรัสรู้(15 ค่ำเดือน 6)





- ขณะมีพระชนมายุได้ 35 พรรษา ในวันที่พระองค์ตรัสรู้ นางสุชาดาได้ถวายข้าวมธุปายาส(หุงด้วยนม) ใต้ต้นไทร เมื่อเสวยเสร็จแล้วทรงลอยถาดทองในแม่น้ำเนรัญชรา ทรงอธิษฐานเสี่ยงพระบารมีว่า ...
ถ้าอาตมาจะได้ตรัสแก่พระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณแล้ว ขอให้ถาดนี้จงลอยทวนกระแสน้ำขึ้นไป  ถาดทองนั้นลอยทวนกระแสน้ำขึ้นไป ๑ เส้น แล้วก็จมลงตรงนาคภพพิมานแห่งพญากาฬนาคราช พระองค์ทรงโสมนัสและแน่พระทัยว่าจะได้ตรัสรู้ เป็นพระสัพพัญญูสัมพุทธเจ้า โดยหาความสงสัยมิได้

-
ในเวลาเย็นโสตถิยะให้ถวายหญ้าคา 8 กำมือ ปูลาดเป็นอาสนะ ณ โคนใต้ต้นโพธิ ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา (ปัจจุบันคือ ต.พุทธคยา ประเทศอินเดีย)

-
ทรงตั้งพระทัยแน่วแน่ว่าจะบรรลุโพธิญาณ ประทับหันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก
- ทรงบรรลุรูปฌาณทั้ง 4 ชั้น แล้วใช้สติปัญญาพิจารณาจนเกิดความรู้แจ้ง คือ
1.) เวลาปฐมยาม ทรงได้ปุพเพนิวาสานุสติญาณ คือ ความรู้เป็นเหตุให้ระลึกชาติได้
2.) เวลามัชฌิมยาม ทรงได้จุตูปปาตญาณ(ทิพยจักษุญาณ)คือรู้เรื่องเกิด-ตายของสัตว์ทั้งหลายว่า เป็นไปตามกรรมที่ตนกระทำไว้
3.) เวลาปัจฉิมยาม ทรงได้ อาสวักขยญาณ คือ ความรู้ที่ทำให้สิ้นอาสวะหรือกิเลส หมายถึง ตรัสรู้อริยสัจ4
- อาสวักขยญาณ ที่ทรงได้ทำให้ทรงพิจารณาถึงขันธ์ 5 และใช่แห่งความเป็นเหตุที่ เรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท อันเป็นต้นทางให้เขาถึงอริยสัจ 4
- เมื่อพระองค์ทรงรู้เห็นแล้ว จึงละอุปาทานและตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

5. ปฐมเทศนา




- หลังจากที่ตรัสรู้แล้ว ได้พิจารณาธรรมที่พระองค์ตรัสรู้เป็นเวลา 7 สัปดาห์ ทรงเห็นว่าพระธรรมที่พระองค์ทรงบรรลุนั้นมีความละเอียดอ่อน สุขุมคัมภีรภาพ ยากต่อบุคคลจะรู้ เข้าใจและปฏิบัติได้ ทรงเกิดความท้อพระทัยว่าจะไม่แสดงธรรมโปรดมหาชน ต่อมาท่านได้ทรงพิจารณาอย่างลึกซึ้ง แล้วทรงเห็นว่าบุคคลในโลกนี้มีหลายจำพวก บางพวกสอนได้ บางพวกสอนไม่ได้ เปรียบเสมือนบัว ๔ เหล่า ดังนั้นแล้วจึงดำริที่จะแสดงธรรมเพื่อมวลมนุษยชาติต่อไป

บัว ๔ เหล่า ได้แก่
๑.พวกที่มีสติปัญญาฉลาดเฉลียว เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ฟังธรรมก็สามารถรู้ และเข้าใจในเวลาอันรวดเร็ว เปรียบเสมือน เมื่อต้องแสงอาทิตย์ก็เบ่งบานทันที (อุคฆฏิตัญญู) 

๒.พวกที่มีสติปัญญาปานกลาง เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ฟังธรรมแล้วพิจารณาตามและได้รับการอบรมฝึกฝนเพิ่มเติม จะสามารถรู้และเข้าใจได้ในเวลาอันไม่ช้า เปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่ปริ่มน้ำซึ่งจะบานในวันถัดไป (วิปัจจิตัญญู) 

๓.พวกที่มีสติปัญญาน้อย แต่เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ฟังธรรมแล้วพิจารณาตามและได้รับการอบรมฝึกฝนเพิ่มอยู่เสมอ มีความขยันหมั่นเพียรไม่ย่อท้อ มีสติมั่นประกอยด้วยศรัทธา ปสาทะ ในที่สุดก็สามารถรู้และเข้าใจได้ในวันหนึ่งข้างหน้า เปรียบเสมือน ซึ่งจะค่อยๆ โผล่ขึ้นเบ่งบานได้ในวันหนึ่ง (เนยยะ) 

๔.พวกที่ไร้สติปัญญา และยังเป็นมิจฉาทิฏฐิ แม้ได้ฟังธรรมก็ไม่อาจเข้าใจความหมายหรือรู้ตามได้ ทั้งยังขาดศรัทธาปสาทะ ไร้ซึ่งความเพียร เปรียบเสมือน ยังแต่จะตกเป็นอาหารของเต่าปลา ไม่มีโอกาสโผล่ขึ้นพ้นน้ำเพื่อเบ่งบาน (ปทปรมะ)
- จึงทรงมีพระกรุณาธิคุณ ระลึกอาฬารดาบสและอุททกดาบสว่า มีกิเลสเบาบางสามารถตรัสรู้ได้ทันที แต่ท่านทั้ง 2 ได้ตายแล้ว จึงทรงระลึกถึงปัญจวัคคีย์ (ประกอบด้วย พระโกณฑัญญะ พระวัปปะ พระภัททิยะ พระมหานาม และพระอัสสชิ) จึงเสด็จไปที่ป่าอิสปตนมฤคทายวัน เมืองพาราณสี แคว้นกาสี ปัจจุบันคือสารนาถ เมืองพาราณสี ในวันขึ้น 15 เดือน 8 จึงทรงปฐมเทศนา " ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร (แปลว่าสูตรของการหมุนวงล้อแห่งพระธรรมให้เป็นไป)" 
ซึ่งใจความ 3 ตอน คือ
- โกญฑัญญะเป็นผู้ได้ธรรมจักษุก่อน เกิดความเข้าใจแจ่มแจ้งตามสภาพเป็นจริงว่า 
- หลังจากปัญจวัคคีย์อุปสมบทแล้ว พุทธองค์จึงทรงเทศน์ อนัตตลักขณสูตร ปัญจวัคคีย์จึงสำเร็จเป็นอรหันต์

6.ลักษณะการแสดงธรรม


- สำหรับผู้ที่ไม่มีพื้นฐานทางธรรมมาก่อนจะทรงเทศน์ "อนุปุพพิกถา" ซึ่งว่าด้วยเรื่อง
- คุณของการให้ทาน การรักษาศีล
- สวรรค์ (การแสวงสุขเนื่องจากการให้ทาน การให้ศีล)
- โทษของกามและการปลีกตัวออกจากกาม
- จากนั้นจึงทรงเทศน์ อริยสัจ 4

7.แสดงธรรมโปรดยสกุลบุตร


- ยสกุลบุตรเบื่อหน่ายชีวิตครองเรือนหนีออกจากบ้าน ไปยังป่าอิสปตนมฤคทายวันในเวลาเช้ามืด แล้วพบพระพุทธเจ้าบังเอิญ ยสกุลบุตรสดับพระธรรมเทศนาได้ดวงตาเห็นธรรม ได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันต์ และขอบวช
- อุบาสิกอุบาสิกาคู่แรก คือ บิดามารดาของพระยสะ
- ครั้นแล้วมีเพื่อนของพระยสะ 4 คนกับอีก 50 คน ได้มาฟังพระธรรมเทศนา สำเร็จเป็นพระอรหันต์ จึงมีพระอรหันต์ในโลก 61 องค์

8.การส่งสาวกประกาศศาสนา


- ตรัสเรียกสาวกออกประกาศศาสนา เมื่อมีสาวกครบ 60 รูป (ปัญจวัคคีย์และพวกพระยสะ)
- ตรัสให้พระสาวก 60 รูปแยกย้ายกันประกาศศาสนา 60 แห่งไม่ซ้ำทางกัน
- พระองค์จะเสด็จไปแสดงธรรม ณ ตำบลอุรุเวลา เสนานิคม
- เมื่อสาวกออกประกาศเทศนา มีผู้ต้องการบวชมาก และหนทางไกลกัน จึงทรงอนุญาตให้สาวกดำเนินการบวชได้ โดยใช้วิธีการ "ติสรณคมนูปสัมปทา" (ปฏิญาณตนเป็นผู้ถึงพระรัตนตรัย)

9.การประดิษฐ์พุทธศาสนา


- วิธีเผยแพ่รศาสนาในกรุงราชคฤห์ ทรงเทศน์โปรดชฎิล(นักบวชเกล้าผม)สามพี่น้อง ได้แก่ พระอุรุเวลกัสสปะ พระนทีกัสสปะ พระคยากัสสปะ และบริวาร รวม 1,000 คนก่อน แล้วได้ขอบวชในพระพุทธศาสนา เพราะพวกชฎิลเป็นเจ้าลัทธิบูชาไฟที่ยิ่งใหญ่ หากชฎิลยอมรับพุทธธรรมได้ ประชาชนก็ย่อมเกิดความศรัทธา
- พระอุรุเวลกัสสปะได้ยกย่องว่าเป็นผู้เลิศในทางมีบริษัท(บริวาร)มาก
- พระเจ้าพิมพิสารทรงถวายวัดนับว่าเป็นวัดแห่งแรกในพระพุทธศาสนา คือ พระเวฬุวันมหาวิหาร (วัดเวฬุวัน)

10.พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ


- ณ กรุงราชคฤห์นี้เอง เด็กหนุ่มสองคน ซึ่งเป็นศิษย์ของนักปรัชญาเมธี ผู้มีชื่อเสียงคนหนึ่งชื่อ สัญชัย เวลัฏฐบุตร โดยพระอัสสชิได้แสดงธรรมให้อุปติสสะว่า
อุปติสสะได้ฟังก็เกิด "ดวงตาเห็นธรรม" จึงกราบลาท่าน แล้วรีบไปบอกข้อความที่ตนได้ฟังมาแก่โกลิตะทราบ โกลิตะได้ฟังก็เกิด"ดวงตาเห็นธรรม" เด็กหนุ่มสองคนจึงมาขอบวชเป็นสาวกพร้อมกัน และมีชื่อเรียกทางพระศาสนาว่า พระสารีบุตร และ พระโมคคัลลานะ ตามลำดับ
- หลังจากบวชได้ 7 วัน พระโมคคัลลานะได้ไปบำเพ็ญสมาธิอยู่ที่ กัลลวาลมุตตคาม ใกล้เมืองมคธ รู้สึกง่วงเหงาหาวนอน แก้อย่างไรก็ไม่หาย จนพระพุทธเจ้าเสด็จไปตรัสบอกวิธีเอาชนะความง่วงให้ พร้อมประทานโอวาทว่าด้วยความไม่ยึดมั่นถือมั่น ให้ใช้ปัญญาพิจารณาเวทนา (ความรู้สึก) ทั้งหลายว่า เป็นอนิจจังไม่เที่ยงแท้แน่นอน จบพุทธโอวาท พระโมคคัลลานะก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์
- หลังจากบวชได้ 15 วัน พระสารีบุตรได้ถวายงานพัดพระพุทธเจ้า ขณะพระองค์ทรงแสดงธรรมโปรดทีฆนขะปริพาชก (นักบวชไว้เล็บยาว) อยู่ที่ถ้ำสุกรขาตา เชิงเขาคิชฌกูฏ ท่านพัดวีพระพุทธองค์พลางคิดตามพระโอวาทของพระพุทธเจ้าไปด้วย เมื่อจบพระธรรมเทศนาก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์
- ทั้งสองท่านได้รับแต่งตั้งจากพระพุทธเจ้าให้เป็นพระอัครสาวก โดยพระสารีบุตรเป็นพระอัครสาวกเบื้องขวา มีความเป็นเลิศกว่าผู้อื่นทางปัญญา และพระโมคคัลลานะเป็นพระอัครสาวกเบื้องซ้าย มีความเป็นเลิศกว่าผู้อื่นทางฤทธิ์มาก

11.โอวาทปาติโมกข์


- วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 (มาฆบูชา) เกิดมีจตุรงคสันนิบาต ซึ่งประกอบด้วย
- พระสงฆ์ปรารถว่าไม่เคยเห็นฝนเช่นนี้มาก่อน พระพุทธจึงทรงเล่าว่า ฝนนี้เคยตกมาแล้วเมื่อเสวยพระชาติเป็นพระเวสสันดร แล้วจึงทรงเล่าเรื่องมหาเวสสันดร

12.โปรดพระพุทธบิดาและพระยูรญาติ ณ กรุงกบิลพัสดุ์


- ทรงแสดงธรรมโปรดพระพุทธบิดา (พระเจ้าสุทโธทนะ) ได้บรรลุโสดาปัตติผล สกทาคามิผล อนาคามิผล จนบรรลุอรหันตผลเมื่อใกล้สวรรคต
- พระนันทะ (เป็นโอรสของพระสุทโธทนะกับพระนางปชาบดีโคตมี) ซึ่งเป็นพระอนุชาของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้านำ ออกผนวชอุปสมบท
- ต่อมาพระนางยโสธราก็ให้พระกุมารราหุลซึ่งมีอายุ 7 ปีไปทูลขอราชสมบัติ พระพุทธเจ้าเห็นว่าราชสมบัติเป็นสิ่งไม่จีรังยั่งยืน อริยทรัพย์(ทรัพย์อันประเสริฐ)ต่างหากเป็นสิ่งยั่งยืน จึงทรงให้พระสารีบุตรทำการบรรพชาให้ราหุลเป็นสามเณร จึงเป็นสามเณรรูปแรกในพระพุทธศาสนา ณ นิโครธาราม พระเจ้าสุทโธทนะจึงขอร้องว่า"ขออย่าให้ทรงบวชใคร โดยที่พ่อแม่เขายังไม่ได้อนุญาต"
เมื่ออายุครบ 20 ปี ได้รับการอุปสมบทเป็นพระภิกษุ จากนั้นก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์และได้ยกย่องว่าเป็นผู้เลิศในทางใคร่ต่อการศึกษา
- ทรงให้อุปสมบทแก่เจ้าศากยะ 5 พระองค์ คือ พระอานนท์ พระอนุรุทธ์(เป็นผู้มีเลิศในทางมีทิพยจักษุ) พระภัททิยะสักยราชา พระภัคคุ พระกิมพิละ และเจ้าโกลิยะ 1 พระองค์ คือพระเทวทัต จนได้บรรลุอรหัตผล 5 ท่าน ยกเว้นพระเทวทัต
- พระอุบาลีเป็นบุตรของช่างกัลบก(ช่างตัดผม)อยู่ในวรรณะต่ำ ได้รับแต่งตั้งให้เป็นพนักงานภูษามาลาของเจ้าศากยะ ทำหน้าที่จัดการดูแลเครื่องแต่งกาย เมื่อเจ้าศากยะ 5 พระองค์ และเจ้าโกลิยะ 1 พระองค์ทรงออกผนวช อุบาลีได้ติดตามไปขออุปสมบทด้วย พระอุบาลีเมื่อได้อุปสมบทแล้วไม่ช้าก็บรรลุอรหัตผล และได้ยกย่องว่าเป็นผู้เลิศทาง ด้านผู้ทรงไว้ซึ่งพระวินัย
- พระนางปชาบดีโคตมี(พระน้าของพระพุทธเจ้า) ได้ผนวชเป็นภิกษุณีรูปแรกในพระพุทธศาสนา โดยพระอานนท์ช่วยกราบทูลขออนุญาตพระพุทธเจ้าสุดท้ายได้บรรลุพระอรหันต์ และได้ยกย่องว่าเป็นผู้เลิศในทางรู้ราตรี
- โปรดให้พระนางยโสธราได้อุปสมบทเป็นภิกษุณีชื่อพระนางภัททา กัจจานา จนบรรลุอรหัตผล และได้ยกย่องว่าเป็นผู้เลิศในทางบรรลุอภิญญาใหญ่ (สามารถระลึกเหตุการณ์ในกัปป์ต่างๆย้อนหลังไปได้มากนับไม่ถ้วน)

13.การประดิษฐ์พุทธศาสนา ณ แคว้นโกศล


เมื่อประดิษฐานพระศาสนาในแคว้นมคธได้อย่างมั่นคงแล้ว ต่อมาไม่นานพระพุทธศาสนาก็มีศูนย์กลางแห่งใหม่ที่ เมืองสาวัตถี แคว้นโกศล โดยอนาถบิณฑิกเศรษฐี ได้สร้าง"วัดพระเชตวัน"ขึ้น แล้วกราบทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์ไปอยู่ประจำ และนางวิสาขามหาอุบาสิกาเศรษฐีนีคนหนึ่ง ก็มีจิตศรัทธาสร้าง วัดบุพพาราม ถวายด้วย

14.ปัจฉิมกาล




- ก่อนปรินิพพาน 3 เดือน ทรงปลงอายุสังขาร
- ก่อนปรินิพพาน 1 วัน นายจุนทะถวายสุกรมัททวะ (หมูอ่อน) เมื่อพระองค์เสวยแล้วประชวรพระอานนท์โกรธ พุทธองค์จึงตรัสว่า
- ก่อนปรินิพพานทรงกล่าวพุทธโอวาทว่า
1.)การบูชาพุทธองค์อย่างแท้จริง คือ การปฎิบัติธรรมให้สมควรแก่ธรรม
2.)พุทธศาสนิกชนที่ต้องการเฝ้าพระองค์ควรไปที่ "สังเวชนียสถาน"
3.)การวางตัวของภิกษุต่อสตรี ต้องคุมสติอย่าแปรปรวนตามราคะตัณหา
4.)พระบรมสารีริกธาตุเป็นเรื่องของกษัตริย์(มัลลกษัตริย์) มิใช่กิจของสงฆ์
5.)ความพลัดพรากเป็นธรรมดาของโลก
6.)ธรรมและวินัย จะเป็นศาสดาแทนพุทธองค์ ทั้งนี้เพราะบุคคลไม่เที่ยงแท้เท่ากับพระธรรมซึ่งเป็นสัจธรรม
- ปัจฉิมสาวก คือ สุภัททะบริพาชก
- ปัจฉิมโอวาท 
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราขอบอกเธอทั้งหลาย สังขารทั้งปวงมีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา
พวกเธอจึงทำประโยชน์ตนเอง และประโยชน์ของผู้อื่นให้สมบูรณ์ด้วยความไม่ประมาทเถิด"
(
อปปมาเทน สมปาเทต)
- ปรินิพพาน ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ใต้ต้นสาละ ณ สาลวโนทยาน ของเหล่ามัลลกษัตริย์ เมืองกุสินารา แคว้นมัลละ 
พระชนมายุ 80 ปี ทรงเทศนาสั่งสอนมาเป็นเวลา 45 ปี

อ่างอิงมาจากเว็บ